Canalblog
Editer l'article Suivre ce blog Administration + Créer mon blog
Publicité
* My Blog *
Publicité
* My Blog *
Archives
24 septembre 2005

เรื่องเล่าจาก มช.

บทที่สอง

จากมหาลัยเล็กๆเมื่อหลายสิบปีก่อน
มาในตอนนี้ กลายเป็นมหาลัยที่ใหญ่ และมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศ
นักศึกษารุ่นแล้วรุ่นเล่า เข้ามาศึกษาและจบออกไป
หลายคนเจอะเจอเหตุการ์ณแปลกประหลาด
ก็เก็บมาถ่ายทอด
จากรุ่น
สู่รุ่น

นานเข้า นานเข้า

จึงกลายเป็นตำนาน

นักศึกษาใหม่หลายคน มองเป็นเรื่องงมงาย
ไร้สาระ
และนี่
คือบทหนึ่ง ในตำนาน
ที่กลายเป็นเรื่องจริง
....
หลังสอบปลายภาค
ทุกคนเหมือนถูกปลดปล่อยจากพัธนาการ
บางคนกว้างตำรับตำราที่เรียนมาทิ้ง
บางคนกระโดดดีใจจนตัวลอย
ผม และเพื่อนๆ ก็เป็นหนึ่งกลุ่มในนั้น
เรามาตั้งวงกินเหล้ากันที่อ่างเก็บน้ำในมหาลัยตั้งแต่ตอนพลบค่ำ
รายรอบอ่างเก็บน้ำ มีคนอยู่เป็นกลุ่มๆ กระจัดกระจายกันไป
บางคนมาเป็นคู่ชายหญิง
บ้างก็มากันเป็นกลุ่มเหมือนพวกเรา
ส่งเสียงเฮฮาดังก้องไปทั่วอ่างเก็บน้ำ
ไม่มีใครสนใจใคร ต่างจับกลุ่มอยู่กับพวกของตัวเอง
ผมและเพื่อนๆ ก็สนใจกับกลุ่มของตัวเอง
บทสนาที่เริ้มเข้มข้นขึ้น เมื่อเหล้าขวดที่สามหมดไป
เพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวเชียงใหม่แต่กำเนิด
หยิบยกบทสนทนาเรื่องราวความเป็นมาของเมืองเชียงใหม่
และมหาลัยเชียงใหม่อันน่าภูมิใจ
มันเล่าเป็นวรรคเป็นเวร จนเพื่อนในวงเริ่มเบื่อ
แต่พอเหล้าเข้าปาก ก็ไม่ค่อยมีใครฟังใคร
บทสนทนามาหยุดตรงการเถียงกันเรื่อง ความเป็นมาของเนินเขาลูกย่อมข้างดึกเรียน
แห่งหนึ่ง

หนึ่ง : เห้ย มรึงไม่เชื่อกรูเหรอ นี่ยายกรูเล่าให้ฟังนะมรึง
คนแก่ไม่โกหกหรอก
สอง : เออกรูเชื่อ แต่แมร่ง เปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ กรูเสียว
คุยเรื่องอื่นเหอะ
สาม: เออน่านดิเปลี่ยนเรื่องคุยเหอะ
ผม: เอออ้ายบ้านี่เมา แล้วคุยแต่เรื่องผีๆ
สี่ : แต่กรูไม่เชื่อว่ะ ให้ตายเหอะ ตังแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นผีจังๆ ซะที แม
ร่ง ถ้ามีจริงก็อยากเห็นว่ะ

เพื่อนคนที่สี่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกผมยันจนตัวเอียง

ผม: อ้ายเฉี่ย ไม่เชื่ออย่าท้าซิ กรูไม่อยากเจอว้อย
สี่: อ้ายสาด ถีบกรูไม กรูไม่เชื่อว่ะ แมร่งต้องพิสูจน์
:-)
จำม่ายด้ายเหรอ อาจานบอกว่า อย่าเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น
หนึ่ง: เออ ถ้ามรึงไม่เชื่อกรูจะพาไปพิสูจน์ มรึงกล้าป่าวล่ะ
สี่: ทำไมจะไม่กล้าวะ ยังไงที่ไหน ได้ทุกเวลาเพื่อน
ผม: เห้ย แดรกเหล้าเหอะ มรึงจะเถียงกันทำไมวะ

ด้วยเหตุผลของเพื่อนคนที่สี่ และความเชื่อของคนที่หนึ่ง
ทำให้กลุ่มผมต้องยกโขยงกันมาพิสูจน์

เพื่อนคนที่หนึ่งเล่าว่า
ข้างๆตึกเรียนแห่งหนึ่ง ตรงเนินเขาเป็นเชิงตะกอนเก่า ที่ยังไม่ได้ถูกขุดขึ้นมา
นับร้อยปี และถ้าอยากเห็น "ผี"
ให้จุดธูป 1 ดอก และเดินไปรอบๆเนินดินนั้นสามรอบ
จากนนั้นเอาธูปไปปักที่ยอดเนินดิน จากนั้นก้จะเห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็น
แต่คืนนั้นเราไม่มีธูป
แต่ด้วยความอยากพิสูจน์ของเพื่อนคนที่สี่
พวกเราก็พากันเดินรอบเนินดินจนครบสามรอบ

ม่ายเห็นมีเลย ผี ของมรึงอ่ะ
เหนป่ะ กรูบอกแล้ว แมร่งไม่มีหรอก
เชื่อกันเป้นตุเป็นตะ
ถ้ามีจริงแมร่งกรูจะขอหวยแมร่งเลย
เพื่อนคนที่สี่พูดขึ้นหลังจากเราเดินวนครบสามรอบและมานั่งกันอยู่บนยอดเนิน

ที่ไม่เห็นเพราะเราไม่มีธูปหรอก ถ้ามีธูปมาปัก มันต้องเห็นแน่ๆ
เพื่อนคนที่หนึ่งยังไม่ยอมแพ้

เออแมร่งยังไม่ยอมแพ้ เด่วพรุ่งนี้ มรึงมากะกรูเอาะปะม เอาธูปมาด้วย แล้วก็จะ
รู้ว่าใครผิดใครถูก
แดรกเหล้ามาก แมร่งปวดฉี่ กรูขอกรวดน้ำให้ก่อนแล้วกันว่ะ
พูดจบเพื่อนคนที่สี่ ก็รูดซิบกางเกง ปล่อยน้ำเสียจากร่างกายลงบนยอดเนิน

ไม่ทันที่เพื่อนคนที่หนึ่งจะห้ามทัน
เพื่อนคนที่สอง และคนที่สาม ก็ยืนปล่อยของเสียตามคนที่สี่ตรงยอดเนินจนสุด

ผมกับเพื่อนคนที่หนึ่งยืนมองอยู่ด้านล่าง

เหล้าหมดแล้ว
แล้วตอนนั้นก็ดึกมากแล้ว

เรายึงแยกย้ายกันกลับที่พัก
ผมกับเพื่อนคนที่สี่ พักอยู่หอในมหาลัย ห้องเดียวกัน
เราจึงเดินกลับด้วยกัน

เพื่อนคนที่หนึ่งต้องขับมอไซต์กลับบ้านในตัวเมือง

คนที่สองพักอยู่หอพักนอกมหาลัย
ส่วนคนที่สามพักอยู่ในมหาลัยแต่คนละส่วนกับผม

ระหว่างทางกลับหอ
ผมต้องคอยหิ้วปีกเพื่อนคนที่สี่ ซึ่งเมามากจนเดินแทบไม่ไหว
ส่วนผมนั้นส่างมาพอสมควร

ระหว่างทางนั้นมืดมาก เราเดินมาจนป่าสักทางเข้าหอพัก
ตอนนั้นผมได้กลิ่นเหม็นใหม้ลอยมา
ในตอนแรกคิวว่ามีใครมาเผาใบไม้แถวนี้
จึงเหลือบมองไปรอบๆ แต่ไม่พบกองไฟ หรือควันไฟ

กลิ่นนั้นยิ่งแรงๆขึ้น แรงขึ้น
มันเป็นกลิ่นเหม็นใหม้ของเส้นผม หรือเส้นขน

ผมขนลุกซู่
หายเมาเป็นปลิดทิ้ง
รีบพยุงและรั้งเพื่อนคนที่สี่ จนเรามาถึงประตูเข้าหอพัก ซึ่งสว่างมากกว่าทาง
เดินที่เดินผ่านมามากนัก
ผมหายใจโล่งอก พลอยคิดไปว่าเมื่อกี้คงเป็นอุปทานของคนกลัวผีอย่างผม
ผมพยุงเพื่อนคนที่สี่ ไปจนถึงห้องนอน ถีบมันลงที่เตียง
แล้วออกมาอาบน้ำ รู้สึกง่วงและเหนียวตัวพิกล
เพื่อนผม พอตัวถึงเตียงก็หลับไหวไม่ได้สติ

ผมอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
เดินกลับเข้ามาที่ห้อง ยังเห็นเพื่อนนอนอยู่ในท่าเดิม
จึงจัดท่านอนมันให้ดุเป็นผู้เป็นคน
จากนั้นผมก็ล้มตัวลงที่เตียงของผม
สวดมนต์
แล้วนอน

ผมมาสะดุ้งตื่นอีกที ตอนเกือบรุ่งเช้า
ได้ยินเสียง อึกอักๆ มาจากเตียงข้างๆ
ตอนแรกคิดว่าเพื่อนคงลุกมาอ้วก
แต่ไม่ได้ยินเสียงลุกจากเตียง
และผมก็ยังไม่อยากลืมตา
ผมส่งเสียงงัวเงียถามไปว่า
มรึงเป็นเฉี่ยๆไร จะอ้วกก็อ้วก อึกอักอยู่ได้
ไม่มีเสียงตอบจากเพื่อนผม
ตอนนั้นผมคิดในใจ
ถ้ามันอ้วก รดเตียงคงเหม็นไปทั่วห้องแน่

ผมถีบตัวเองลุกจากเตียง
โดยที่ยังไม่ลืมตา เดินด้วยความเคยชินมาที่เตียงเพื่อน
ลืมตาขึ้นช้าๆ
ภาพที่ผมเห็นคือ เพื่อนผมนอนเหยียดยาว แขนทั้งสองข้างกางออกจากกันเหมือนถูกใคร
กดไว้ ปลายเท้าเหยียดเกร็ง
ใบหน้าเหยเก บิดไปบิดมา มีน้ำขุ่นๆ ไหลออกมาจากปาก อาการเหมือนคนเป็นโรคลมชัก

ผมถลันไปถึงตัวเพื่อน จับเข้าที่ปลายเท้า
เท้ามันเย็นเฉียบ เย็นเยียบ
ผมหัวลุก
ผงะถอยออกมา
ยังงกับภาพเบื้องหน้า
พยายามตั้งสติ
ผมส่งเสียงเรียกเพื่อนดังลั่น

เอาไงดีวะ
เพื่อนผมลืมตา แต่ตามันไม่ได้มองมาที่ผม ตามันเหลือกขึ้นเหลือกลง
มองเห็นตาขาวมากกว่าตาดำ
ตอนนั้นผมคิดได้แต่ว่า
แมร่งโดนเข้าแล้วมรึง
ผมวิ่งกลับไปที่เตียง กว้าพระจากไต้หมอนวิ่งเอามาคล้องคอเพื่อน
เสียงเพื่อนผมกรีดร้อง เสียงสูงมาก เหมือนเสียงผู้หญิง
แล้วก้หยุดเกร็ง ดวงตาปิดลง
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ผมหายใจโล่ง
ถลันไปที่ตัวเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้ผมไปจับที่หน้า ที่บิดไปบิดมาของมัน
ส่งเสียงเรียกมันอีกครั้ง
มันจึงหลับตา
บิดตัวไปมา หายใจฟืดฟาด เหมือนคนจะขาดใจ

แล้วก้หยุดเกร็ง ดวงตาปิดลง
ทุกอย่างกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
ผมหายใจโล่ง
เพื่อนมันหายใจถี่ จนอกกระเพื่อม
ผมตบหน้ามัน
สองสามครั้ง
มันลืมตาขึ้นอีกครั้ง
แต่ยังหายใจหอบ เหมือนคนที่เพิ่งวิ่งมาเหนื่อยๆ

ผม : เห้ย เป็นไรวะ
เพื่อน : .....กรู กรู
ผม: ไหวป่าววะ ไปโรงพยาลาลเหอะ
เพื่อนผมพยักหน้าเบาๆ ยังไม่มีคำพูดหลุดออกมาจากปากมัน

ผมวิ่งออกมาจากห้อง ไปยังตู้โทรศัพท์ กดเบอร์ฉุกเฉินไปที่ป้อมยาม

เช้าวันนั้น ผมยังอยู่ในชุดนอน
นั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน
เพื่อนผมถูกหามเข้าไปในนั้นเกือบสองชั่วโมง
พยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกอยู่หลายรอบ
ตอนนั้นเจ็ดโมงครึ่งแล้ว
ผมเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ หยอดเหรียญ เพื่ออโทรหาเพื่อนคนที่หนึ่ง
เสียงเรียกดังอยู่สองครั้ง ก็มีคนรับสาย
แม่เพื่อนผมรับ
ผมบอกชื่อ และบอกว่าขอคุยกับเพื่อน
เพื่อนผมยังไม่ตื่น แม่มันกำลังจะไปปลุกให้
เสียงงัวเงียรับสาย
ผมเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ
เสียงในสายเงียบไป
ผมย้ำให้มันโทรไปหาเพื่อนคนที่สอง และคนที่สาม
เพราะผมรีบมากจึงลืมหยิบมือถือมา
และจำเบอร์มันสองคนไม่ได้

เพื่อนคนที่หนึ่งรับคำ
และบอกว่าจะรีบตามมาที่โรงพยาบาล
ผมวางโทรศัพท์
และทันนทีหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ผมผละไปที่หมอ
ยังไม่ทันจะถามอะไรหมอก็ชิงตอบว่า

หมอ : ตอนนี้เพื่อนคุณไม่เป็นอะไรแล้ว
เป็นอาการของคนอาหารเป็นพิษน่ะ แล้วก็กินเหล้าเข้าไปเยอะใช่ไหม นั่นก็มีส่วน
ด้วยนะ เพราะร่างกายยังรับไม่ไหว
หมอล้างท้อง แล้วก็ให้น้ำเหลืออยู่ อีกซักพักจะย้ายไปห้องผู้ป่วยสามัญ

หมอร่ายยาว ผมได้แต่ยืนพยักหน้า
ผมยกมือไหว้แล้วหมอก้เดินจากไป
ซักพักพยาลาลก็เข็นเพื่อนผมออกมาจากห้องฉุกเฉิน
ผมเดินไปที่รถเข็ญ เพื่อนผมยังสลึมสลือ
แล้วเดินตามมันไปที่ห้องพักผู้ป่วย
ในคอมันไม่ได้ห้วยพระที่ผมคล้องให้แล้ว
แต่ในมือซ้ายมันกำศร้อยพระอยู่แน่น

ผมจับที่แขนมัน
ไม่ได้พูดอะไร
มันลืมตามองมาที่ผม ไม่มีคำพูดอะไร มันพยักหน้าช้าๆ
ผมยิ้มเชิงปลอบใจ

ตอนสายของวันนั้น
ผมกับเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สามนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยสามัญ
เพื่อนคนที่สามมาหาผมหร้อมกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
แวบแรกที่ผมเห็นมันผมก็ใจชื้น
ใจหนึ่งคิดว่า อย่างน้อยมันก็ไม่เป็นอะไร
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อาจเป็นเพียงอุปทานของผมเอง
เพื่อนผมคงเมา และอาหารเป็นพิษอย่างที่หมอว่า.....
แต่คำตอบที่ได้รับจากเพื่อนคนที่สามหลังจากเราซักถามกัน มันทำให้ผมขนลุก
เพื่อนคนที่สามเล่าให้ฟังด้วยเสียงสั่นเครือ หน้ามันซีดลง
เมื่อเล่ามาถึงตอนที่ว่า
"
หลังจากแยกกันเมื่อคืน กรูก็ขี่มอไซด์กลับหอ ก็กะว่าจะนอนยาวแหละ แต่นอนไปซัก
พัก มันปวดฉี่
กรูเลยลุกไปเข้าห้องน้ำ
(
ห้องน้ำในหอพักเป็นห้องน้ำรวม ต้องเดินออกมาจากห้อง
เพื่อเดินไปเข้าห้องน้ำ)
พอฉี่เสร็จ กรูก็จะกลับมานอนต่อ แล้วกรูก็เห็น"

เล่ามาถึงตอนนี้เพื่อนคนที่สามกลืนน้ำเลยดักเอื้อก
"
ตอนแรกก็คิดว่าตาฝาดว่ะ แต่พอขยี้ตาดูอีกที กรูเห็นจริงๆว่ะ"
คราวนี้ผม กับเพื่อนคนที่หนึ่งเป็นฝ่ายมองหน้ากัน
เพื่อนคนที่หนึ่งพยักหน้า มันคงรู้เรื่องจากคนที่สามแล้วระหว่างทางที่มาหาผม

หนึ่ง : ฟังมันเล่าต่อ ไม่ใช่อย่างที่:-)คิดหรอก
ผม : ผู้หญิงป่าววะ เมื่อคืนกรู...
สาม : คือ.... ทั้งผู้หญิง และ ผู้ชาย
ผมรู้สึกน้ำลายเหนียวคอขึ้น
มาทันที) ....เอื้อก

เพื่อนคนที่สามเล่าต่อว่า เบื้องหน้ามันมีสิ่งที่เราๆเรียกกันว่า "ผี" ยืนกั้น
มันอยู่ เพื่อนผมบอกว่าไม่ได้นับว่ามีเท่าไหร่
อาจสิบ หรือยี่สิบ

มันหันหลังกลับ ตอนนั้นมันคิดจะวิ่งหนีไปอีกทาง
แต่พอหันหลังกลับก้เจอแบบเดียวกัน คืออีกกลุ่มหนึ่งยืนปิดทางเดินไว้ เหยียดยาว
ตั้งแต่หน้าห้องน้ำ ไปจนถึงบันใดวน
เล่ามาถึงตอนนี้เพื่อนคนที่สาม หน้าซีดขาว มันยกพระที่ห้อยคอขึ้นมาสาธุ
ถ้าเป็นผมในตอนนั้น คงตกใจตายอยู่ที่นั่น ไม่ได้มีชีวิตรอดมาถึงเช้าของอีกวัน
แน่ฤดูร้อนปีที่แล้ว เพื่อนคนที่สามกลับไปบ้านเพราะพ่อมันเสีย มันบวชให้พ่อที่วัด
แถวบ้านอยู่เกือบสองเดือน
ได้พระดีมาจากเจ้าอาวาสก่อนจะสึก เวลานั้นเพื่อนคนที่สามรวบรวมสติ และความกล้าที่พอจะเหลืออยู่ รวบพระในคอขึ้นมายกไหว้
ยังพอจำคาถาชินบัญชรได้
มันหลับตาลง และเริ่มท่องอย่างตะกุกตะกัก
เวลานั้นมีลมเย็นพัดผ่านตัวมันไป
วูปแล้ว วูปเล่า
กลิ่นเหม็นใหม้ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ
แล้วลมก้พัดแรงขึ้น แรงขึ้น แรงจนมันรู้สึกว่าตัวมันลอยขึ้น
มันยังสวดคาต่อไป แม้จะตะกุกตะกักก็ท่องมาจนจบท่อนสุดท้าย
มันท่องคาถาดังขึ้น เมื่อรวบรวมความกล้าขึ้นมาได้
และท่องมาจนถึงรอบที่สี่ลมที่พัด และกลิ่นเหม็นไหม้ก็จางหายไป
มันลืมตาขึ้น
มองไปยังทางเดินเบื้องหน้า
พบแต่ความมืดและอากาศธาตุอยู่เบื้องหน้า
เหลียวหลังอีกทีก็ยังไม่พบสิ่งใด
กะว่าจะเดินกลับเข้าห้อง แต่ขามันไม่มีแรง
เหลือบมองที่กางเกง ที่เปรอะไปด้วยฉี่ของตัวเอง
ที่ไม่รู้ปล่อยออกมาตั้งแต่ตอนไหน

มันนั่งลง
หมดเรี่ยวแรง
มองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า เห็นฟ้าสีทองเหลืองอร่าม
นั่นคงไกล้เช้าแล้ว มันลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ค่อยๆก้าวขาช้าๆ เพื่อเดินกลับห้อง

เพื่อนคนที่สามเล่าจบ
ส่วนผมยังยืนนิ่ง สมองชา
มองไปที่ใบหน้าเพื่อนคนที่สามที แล้วก็มองไปยังที่เพื่อนคนที่หนึ่งที

เพื่อนคนที่หนึ่งพยักหน้าอีกครั้ง
ทำนองที่ว่า "เรื่องจริงนะมรึง"

ในตอนนั้นเราต่างนึกถึงเพื่อนคนที่สอง
ที่พักอยู่หอนอก
มันพักอยู่กับเพื่อนอีกคน ซึ่งตอนนี้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดไปแล้ว นั่นหมายความ
ว่า เมื่อคืนนี้มันอยู่คนเดียวเช่นกัน
แล้วอ้ายบ้านั่นมันก็ไม่ได้ห้อยพระด้วย
เพราะเหตุผลที่มันแพ้สร้อย

เพื่อนคนที่หนึ่งเล่าให้ฟังว่า ได้พยายามโทรเข้ามือถือมันแล้ว แต่ไม่มีคนรับสาย
และไม่รู้ว่ามันพักอยู่หอตรงไหน
รู้แต่ว่าอยู่หลังมหาลัย มีแต่ผมคนเดียวที่เคยไปนอนค้างที่นั่น
มันและเพื่อนคนที่สามจึงตรงมาหาผม เพื่อจะได้ไปดูที่หอพักคนที่สาม
อย่างไม่รอช้า ผมและเพื่อนๆ รีบออกจากโรงพยาบาล
ขับรถมุ่งสู่หอพักเพื่อนคนที่สอง

ตอนที่อยู่ในรถเพื่อนคนที่สามเอาแต่ท่องบทสวดมนต์
เดาว่าคงเป็นคาถาชินบัญชร
ตอนนั้นผมก็อยากหัวเราะ แต่มันหัวเราะไม่ออก
ในใจได้แต่พาวนาว่าอย่าให้มันเกิดเรื่องร้ายๆ กับเพื่อนคนที่สองเลย

เรามาถึงห้องพักของเพื่อนคนที่สองตอนเกือบไกล้เที่ยง
เคาะห้องมันอยู่หลายครั้ง ตะโกนเรียกแล้วก็ไม่มีใครตอบ
สุดท้ายต้องไปบอกเจ้าของหอให้มาเปิดประตูให้
แต่สุดท้ายห้องนั้นไม่มีใครอยู่
เพื่อนคนที่สามเริ่มสติแตก โวยวายไปต่างๆนาๆ
ส่วนผมก็เอาแต่เดินไปเดินมา คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร
เป็นเพื่อนคนที่หนึ่งที่พูดขึ้นว่า มันอาจไปนอนที่ชมรม
เพราะอาจจะขี้เกียจกลับหอ
ผมเออออ เราออกจากหอพัก มุ่งสู่ชมรมในมหาลัย
เรามาถึงชมรม มีนักศึกษาอยู่ที่นั่นสองสามคน
ผมรีบถามหาเพื่อน แต่ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็น

เราเริ่มหมดหวัง
เพื่อนคนที่หนึ่งให้ความเห็นต่อไปอีกว่า มันอาจกลับบ้านที่ลำพูน
แต่ผมลงความเห็นว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะเมื่อคืนมันเมามาก และลำพูนก็ไกลพอสมควร
คงไม่มีใครบ้าขี่รถกลับบ้านหรอก

ส่วนเพื่อนคนที่สามตอนนี้ไม่ทำอะไร เอาแต่พึมพำสวดมนต์เหมือนคนบ้า
เราขับรถออกจากชมรม แวะเอามือถือที่หอพักผม
ผมโทรไปบอกแม่ของเพื่อนคนที่สี่ ว่าลูกท่านอาหารเป็นพิษ
อยู่ที่โรงพยาบาล
แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว พักฟื้นอยู่ที่ห้องผู้ป่วยสามัญ

แม่มันตกใจมาก บอกว่าจะรีบมาบินมาที่เชียงใหม่
ผมไม่ได้พูดอะไรอีก
กดโทรศัพท์ไปที่บ้านเพื่อนคนที่สอง

พ่อมันรับสาย
ผมถามว่าลูกท่านได้กลับบ้านหรือเปล่า
ท่านบอกว่าไม่ได้กลับ และถามว่ามีอะไรไหม
ผมบอกแค่ว่า เรามีนัดกันวันนี้ แต่ยังหาตัวเขาไม่เจอ
ไม่อยากบอกอะไรมากไปกว่านี้
เนื่องจากไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เราตกลงว่าจะกลับไปที่โรงพยาลาลอีกครั้งเพื่อดุอาการเพื่อนคนที่หนึ่ง
เพื่อนผมขับรถวนเพื่อจะออกทางหน้ามหาลัย

ผ่านอ่างเก็บน้ำ
ผมเหม่อมองไปที่อ่างเก็บน้ำ
มีคนนั่งอยู่เป็นหย่อมๆ
แล้วสายตาผมก็เหลือบไปเห็น มอไซด์คันหนึ่ง
จอดอยู่ที่ข้างทางลงไปยังอ่างเก็บน้ำ
ผมบอกให้เพื่อนคนที่หนึ่งหยุดรถ
เพราะถ้าผมจำไม่ผิดนั่นคือ รถของเพื่อนคนที่สอง
ผมจำทะเบียน กับรูปสติกเกอร์ที่ติดอยู่ข้างๆรถได้

ผมบอกสิง่ที่เห็นกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เราสองคนลงจากรถเพื่อเดินไปยังรถมอไซด์
เพื่อนคนที่สามไม่ยอมลงจากรถ
เราเดินมาจนถึงตัวรถ และพบว่ามันเป็นรถของเพื่อนคนที่สองแน่ๆ
เรามองหน้ากันอีกครั้ง
ผมตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสุดเสียง
ดังไปรอบอ่างเก็บน้ำ
เพื่อนคนที่หนึ่งก็ช่วยตะโกน
แต่เงียบ
ไม่มีเสียงตอบรับ
มีเพียงเสียงสะท้อนดังมาเป็นระยะ
เรามองหน้ากัน ตกลงที่จะเดินหารอบๆอ่างเก็บน้ำ

เราเดินแยกไปคนละฝั่งของอ่างเก็บน้ำ
ผมเดินเรียบอ่างเก็บน้ำเรื่อยเข้าไปทางเดินแคบๆ
หลังจากแยกกันได้ประมาณสิบนาที ผมก็ได้ยินเสียงเพื่อนคนที่หนึ่ง
ตะโกนร้องเรียกชื่อผม ผมชะงักและมองไปทางต้นเสียง
มองเห็นเพื่อนผมโบกมือ อยู่ทางอีกฝั่งของอ่างเก็บน้ำและตะโกนเรียกผม ท่าทางมัน
ร้อนรน
ผมตะกอนตอบ และรีบวิ่งไปหามัน

พอมาถึงจุดที่มันยืนอยู่ เห็นมันยืนหันหน้าออกจากอ่างเก็บน้ำ
หน้าตาซีดเซียว
ผม : เฮ้ย เป็นไรวะ
มันไม่ตอบแต่ชี้มือไปทางอ่างเก็บน้ำ
ผมมองไปในทิศที่มันชี้

ภาพที่ปรากฎเบื้องหน้า ทำเอาผมมวนท้อง ผมเบือนหน้าหนี
แต่ภาพนั้นยังติดตา
เพื่อนคนที่สองที่หายไป ตอนนี้ครึ่งตัวส่วนขาของมันแช่อยู่ในน้ำ ท่อนบนพิงอยู่
ที่ขอบอ่าง ใบหน้าเขียวขล้ำ ดวงตาเบิกโพลง ไม่ต้องใช้สมองคิดก็รู้ว่ามันตายไป
แล้ว
นึกมาถึงตอนนี้ ผมรู้สึกมวนท้องขึ้นมาอย่างแรง
หน้ามืดและนึกลำดับภาพไปต่างๆนาๆ
ผมมองไปทางเพื่อนคนที่สอง ซึ่งตอนนี้มันกำลังร้องให้
ผมเดินไปหามัน ตบที่บ่ามันเบาๆ ไม่มีคำพูดอะไร
และตอนนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ามัน

บทที่สาม : ความวุ่นวาย ความตาย และ ปาฏิหารย์

บ่ายสองโมงของวันนั้น ผมและเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สาม ยืนอยู่รอบอ่างเก็บน้ำ
ตำรวจและ รปภ มหาลัยยืนอยู่กระจัดกระจายทั่วบริเวณ
นักศึกษาหลายคนบริเวณนั้น จับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ
บริเวณรอบๆที่เพื่อนคนที่สองตายถูกกั้นไว้ไม่ให้เข้า
เย็นวันนั้นผมและเพื่อนทั้งสอง ถูกนำตัวไปสอบสวนที่สถานีตำรวจจนถึงสองทุ่มครึ่ง

เราทั้งหมดให้การตรงกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย และไม่มีใครพูดถึง
เหตุการ์ณที่เนินดินนั่นเลย
ผมออกจากโรงพักตอนสามทุ่ม เราตกลงกันว่าจะแวะไปหาเพื่อนคนที่สี่ และจะกลับไปนอน
ที่บ้านเพื่อนคนที่หนึ่ง และแน่นอน ผมและเพื่อนคนที่สามยังไม่อยากกลับไปนอนที่
หอพักในตอนนี้
ผมมาถึงโรงพยาบาลจึงรู้ว่า เพื่อนคนที่สี่ถูกย้ายไปอยู่ห้องเดี่ยวในโรงพยาบาล
แม่มันมาถึงแล้วเราเข้าไปในห้องผู้ป่วย เจอแม่ของเพื่อนคนที่สี่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้
ป่วยเพื่อนคนที่สี่ตื่นแล้ว และกำลังดูทีวีอยู่
พอพวกเราเข้าไปในห้อง มันก็ยิ้มรับ เราทักแม่มันพอเป็นพิธี แต่ยังไม่ได้บอกถึง
ข่าวการเสียชีวิตของเพื่อนอีกคน
ผมเล่าให้แม่มันฟังถึงเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นโดยขร่าวๆ ไม่ได้บอกถึงเรื่องที่เนิน
ดิน สบตาเพื่อนคนที่สี่ ก็พอรู้ว่ามันยังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่มันฟัง
สี่ทุ่มกว่า เราคุยกันอีกสองสามคำแล้ว ผมและเพื่อนคนที่หนึ่งและเพื่อนคนที่สาม
ก็ออกจากโรงพยาบาล เราทั้งสามคนต่างเหน็ดเหนื่อยกับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นใน
วันนี้ พอถึงบ้านเพื่อน เราก็ฝังตัวอยู่ในห้อง
แม่เพื่อนคนที่หนึ่งเอาข้าวผัดมาให้เราคนละจาน ผมกินไปได้สองสามคำ ส่วนเพื่อนคน
ที่สามไม่ยอมแตะเช่นเดียวกับเพื่อนคนที่หนึ่ง
เรานั่งคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พยายามลำดับเหตุการ์ณต่างๆ ทุกอย่างดูจะ
มืดมนลงเมื่อเราพูดถึงหนทางแก้ไข
มาถึงจุดนี้ผมรู้สึกเพลียมาก จึงล้มตัวลงนอนไม่ได้สนใจบทสนทนาของเพื่อนคนที่สาม
กับคนที่หนึ่ง ที่ยังคงพูดคุยกันต่อไป
คืนนั้น ผมหลับเป็นตาย มารู้สึกตัวอีกทีตอนเกือบรุ่งสาง
ออกมาเข้าห้องน้ำ และกำลังจะกลับไปนอนต่อ เหลือบเห็นเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่
สามนอนกอดกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง ไม่มีใครขึ้นไปนอนบนเตียง
ผมกลับมาที่มุมเดิมของที่นอน แล้วล้มตัวลงนอน ตอนสายของวันนี้เราต้องไปที่โรง
พักอีกครั้ง ผมจึงอยากจะนอนอีกซักตื่นเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเหตุการ์ณต่างๆที่
เกิดขึ้นผมหลับลงอีกครั้งอย่างง่ายดาย
และผมก้ฝัน มันเป็นความฝันที่ชัดเจนเหมือนกับเกิดขึ้นจริง
ในฝันผมนั่งอยู่ที่พื้น เบื้องหน้าผมมีพระรูปหนึ่งยืนอยู่ ในมือถือไม้เท้า หลัง
งองุ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่น ท่านไม่ได้พูดอะไร ผมรู้สึกปลอดโปร่งเมื่อมองไปที่ภาพ
เบื้องหน้าผมเหลือบไปเห็นจีวรของท่านฉีกขาด ผมเงยขึ้นสบตาท่าน
ท่านยิ้ม ผมไม่ทันพุดอะไร ท่านก็เดินจากไป
ผมลุกขึ้นจะเดินตาม แต่ก็ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝันเสียก่อน

ผมตื่นขึ้นเพราะถูกเพื่อนคนที่หนึ่งปลุก
เพื่อนทั้งสองคนตื่นก่อนผม อาบน้ำและกินอะไรกันเรียบร้อยแล้ว
ผมรีบไปอาบน้ำกินอะไรนิดหน่อยแล้วเราก็ออกจากบ้าน ตรงไปที่โรงพัก
ที่โรงพัก เราถูกสอบสวนเหมือนเดิมอีกรอบ และเราได้พบอธิการบดีที่นั่น ท่านบอก
ให้เราเก็บเรื่องที่เกิดขึ้นให้เป็นความลับ เพราะถ้าข่าวรั่วออกไปจะทำให้เสีย
ชื่อมหาลัยเรารับปาก
ออกจากโรงพักตอนเที่ยงเราแวะกินข้าวที่หน้าศาลากลาง
และตรงไปที่โรงพยบาล ตัดสินใจจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง
ถึงโรงพยาบาลเราตรงไปที่ห้องผู้ป่วย จึงรู้ว่าเพื่อนคนที่สี่บินกลับกรุงเทพไป
กับแม่มันตั้งแต่เช้าแล้วผมตัดสินใจโทรเข้ามือถือเพื่อน แต่ไม่มีคนรับ
เราออกจากโรงพยาบาล มุ่งหน้าไปลำพูน เพื่อไปงานศพเพื่อนคนที่สอง

วันนั้นทุกคนยังนิ่งเงียบ ทุกคนเหมือนมีเรื่องให้ต้องคิด
เพื่อนคนที่สามอาการดีขึ้น ไม่ได้นั่งสวดมนต์ตลอดทาง
แต่มันยังยกสร้อยที่ห้อยคอออกมาสาธุเป็นระยะ

เรามาถึงวัดแห่งหนึ่งในอำเภอหนึ่งของจังหวัดลำพูนตอนเที่ยงกว่าๆ เราเข้าไปไหว้
และทักทายพ่อและแม่ของเพื่อนที่ตาย พูดคุยอะไรกันสองสามคำ ทั้งสองคนยังติดใจใน
สาเหตุการตายของลูกตัวเอง และยังอยู่ในอาการเศร้าสร้อย
ในเบื้องต้นหมอสรุปว่าเพื่อนผมเสียชีวิตเพราะร่างกายนอนในที่อากาศเย็นเป็นเวลา
นาน ทำให้ปอดไม่ทำงาน และที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันเมา และเผลอหลับไป
เนื่องจากไม่มีบาดแผล หรือร่องรอยถูกทำร้ายบนร่างกาย
จึงไม่น่าจะมีสาเหตุอื่นในการเสียชีวิตได้
เราแยกตัวออกมาจากกลุ่มญาติของผู้ตาย หลบมานั่งอยู่ทางด้านหลังของแถวที่ฟังพระ
สวดพอพระสวดจบ เรากำลังจะขอตัวกลับ และจะกลับมางานอีกครั้งในวันเผา
เราเดินมาที่รถ ทันใดนั้นผมเหลือบไปเห็นพระรูปหนึ่งกำลังกวาดใบไม้อยู่ที่ลานวัด
หลังของท่านงองุ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่น เหมือนกับภาพที่ผมเห็นในฝันเมื่อคืน
ผมเดินเข้าไปไกล้ขึ้น และรู้แน่ในตอนนั้นว่าผมจำไม่ผิดแน่ เหมือนกันทุกอย่างผิด
กันที่อิริยาบทเท่านั้นเองท่านเงยหน้าขึ้นมองผม และยิ้ม เหมือนกับรอยยิ้มที่ผมเห็นเมื่อคืน ผมนั่งคุกเข่าลง บรรจงกราบท่านสามครั้ง
ท่านยังยิ้มมาที่ผม
เพื่อนทั้งสองคนเดินตามผมมา และนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ
ทั้งสองยังมีสีหน้างง ในสิ่งที่ผมทำ ซึ่งผมก็ยังไม่ได้บอกใครเรื่องความฝันเมื่อคืน

หลวงปู่ : เจริญสุขเถอะโยม
ผม: ......หลวงปู่ครับ คือว่า เมื่อคืนนี้ผม...
หลวงปู่: เอาเถอะโยม อาตมาพอจะรู้เรื่องของพวกโยมมาบ้าง อยากจะรู้ทางแก้ปัญหา
ใช่ไหมล่ะ
ปัญหาของโยมนั้น เกิดขึ้นจากกรรม กรรมที่ร่วมกันทำมา
ก็ต้องร่วมกันแก้ อาตมาหมายถึงพวกโยมที่เหลือทั้งสี่คน
ได้ร่วมสร้างกรรมนี้ขึ้นมา
กรรมอันเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์
ด้วยความโง่เขลา และความไม่รู้

ตอนนั้นผมอึ้งมาก เพื่อนทั้งสองคนก็งงไม่น้อยไปกว่าผม
เพื่อนคนที่หนึ่งสะกิดผมด้านหลัง ถามผมเบาๆว่า รู้จักกันมาก่อนเหรอ
ผมส่ายหน้า
หลวงปู่ : ไม่ต้องสงัสยในตัวอาตมาหรอกโยม พวกโยมมีเรื่องที่ต้องคิดกันพอสมควร
อยู่แล้วท่านพูดมาถึงตอนนี้ก็ส่งยิ้มมาที่เราทุกคน แล้วท่านก็วางไม้กวาดลงที่พื้น หยิบ
ไม้เท้าที่วางอยู่ข้างๆ
หลวงปู่: ตามอาตมา ไปที่กุฏิเถอะ
พูดจบท่านก็ออกเดิน
ผมลุกขึ้นและเดินตามท่านไป
เพื่อนคนที่สามถามผมตอนนที่เราเดินตามท่านไป
ตอนนั้นผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ตอบไปสั้นๆว่า
เราอาจจะพบทางแก้ปัญหาแล้วก็ได้
พวกมรึงตามกรูมาเถอะเดี๋ยวค่อยอธิบายให้ฟัง
ท่านนั่งลงบนอาสนะที่กุฏิ
ส่วนพวกเราทั้งสามคนนั่งพับเพียบอยู่ด้านหน้าท่าน
หลวงปู่: เอาล่ะโยม มารับนี่ไป
หลวงปู่ล้วงไปในกระเป๋าย่ามเก่าๆข้างตัวท่าน
หยิบผ้าสีแดงออกมาสามผืน
บนผ้ามีตัวอักษรภาษาบาลีอยู่สามสี่ตัว ไม่ใช่ผ้ายัตน์
ผมอ่านไม่ออกว่ามันเขียนว่าอะไร
ผมส่งผ้าให้เพื่อนคนละผืน ตัวเองเก็บไว้หนึ่งผืน
หลวงปู่: อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจงเก็บผ้าผืนนี้ติดตัว
ไว้ตลอดเวลา อย่ายกให้กับบุคคลอื่น
เพื่อนคนที่หนึ่งถามท่านว่าท่านรู้เรื่องของพวกเราได้อย่างไร
ท่านยิ้ม
หลวงปู่: ไม่มีประโยช์อันใด ที่จะรู้หรอกโยม เพราะบางสิ่งบางอย่าง เมื่อรู้แล้ว
ก็นำมาซึ่งความโง่เขลา มากกว่าปัญญา
อาตมาขอให้พวกโยมทุกคน ค้างกับอาตมาที่นี่คืนนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับเชียงใหม่
อาตมาให้เด็กวัดเตรียมที่นอนไว้ให้แล้ว
ตอนเย็นเจ้าผมยาวก็จะมา เมื่อมันมาถึงพามันมาหาอาตมาที่นี่

เพื่อนทั้งสองคนหันมามองหน้าผม เพราะคนที่ท่านพูดถึงนั้น
หมายถึงเพื่อนคนที่สี่ของเรา ที่เพิ่งบินกลับกรุงเทพไปเมื่อเช้า

หลวงปู่ : อาตมาขอตัวก่อนะโยม พวกโยมจะได้คุยกัน
หลังจากทำวัตรเย็นแล้ว อาตมาขอให้พวกโยมมาพร้อมกันที่นี่
หลังจากพูดจบท่านก็ลุกขึ้นยืน และเดินเข้าห้องท่านไป
หลังจากท่านจากไป เพื่อนทั้งสองคนก็ยิงคำถามใส่ผมหลายชุด
ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่อง และเล่าให้ฟัง
หลังจากทราบเรื่องราว เพื่อนทั้งสองคนก็สงบลง
เหตุการ์ณที่เกิดขึ้น
จะเรียกว่าปาฏิหารก็ได้
เพราะผมไม่รู้จะใช้คำพูดอื่นใดทดแทนได้
เย็นวันนั้นขนะเราเตร็ดเตร่อยู่แถวงานศพ
เพื่อนคนที่สี่ก็โพล่มา พวกเราตกใจเล็กน้อย
เพราะอันที่จริงก็เตียมใจกันไว้แล้ว ว่ามันต้องโผล่มา
เราก็เข้าไปซักถาม ว่ากลับมาเชีบงใหม่ได้อย่างไร
มันบอกว่าไปถึงดอนเมือง แล้วอ่านข่าวหนังสือพิมพ์
เลยรู้ข่าวว่าเพื่อนคนที่สองตาย
จึงจับเครื่องกลับเชียงใหม่ทันที
พอมาถึงเชียงใหม่ก็ไปที่บ้านคนที่หนึ่ง จึงรู้ว่าพวกเรามาที่งานศพ จึงตามมาที่
นี่พวกเราพยักหน้า
ผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นให้เพื่อนคนที่สี่ฟัง
เราลำดับเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้น
เป็นอันว่าตอนนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เนินดิน นอกจากพวกเราสี่คน

ตกเย็น เราพากันไปนั่งรอหลวงปู่ที่กุฏิ
หลวงปู่กลับขึ้นกุฏิ ไม่มีสีหน้าประหลาดใจ
ยังส่งยิ้มมาที่เราทุกคน
พวกเราก้มลงกราบพร้อมกัน
หลวงปู่: เจริญสุขเถอะโยม มากันพร้อมหน้าแล้วซินะ
เอาล่ะ มารับนี่ไป
หลวงปู่ยื่นผ้าสีแดงให้เพื่อนคนที่สี่
หลวงปู่ : จงติดตัวไว้อย่าให้ห่าง
หลวงปู่: เอาล่ะทีนี้จงฟังอาตมาให้ดี
พรุ่งนี้พวกโยมทุกคนหลังจากกลับถึงเชียงใหม่แล้ว
ให้กลับไปที่เชิงตะกอนเก่า นำน้ำมนต์นี้ราดลงรอบๆเชิงตะกอน และบนยอด แต่ต้องทำ
ในเวลาหลังเที่ยงคืน
จากนั้นให้โยมจุดธูปคนละ 1 ดอก
สวดมนต์ตามที่อาตมาจดให้นี้จนครบสามรอบ
แล้วนำธูปขึ้นไปปักที่เชิงตะกอน
ไม่ว่าจะเห็นหรือพบเจออะไร อย่าได้หยุดสวดมนต์
และในวันรุ่งขึ้น ให้พวกโยมกลับมาหาอาตมา
และถือศีลอยู่ที่วัดนี้ซักเจ็ดวัน

กล่าวจบหลวงพ่อก็ยกขันน้ำมนต์ใบใหญ่
มาตั้งตรงหน้าพวกเรา
พร้อมกับบทสวดมนต์ ครึ่งหน้ากระดาษ
หลวงปู่พรมน้ำมนต์ให้เราทุกคน จากนั้นก็รินน้ำมนต์ใส่กระติกน้ำแข็ง บอกให้เรานำ
กลับไปทำพิธีในวันพรุ่งนี้
พวกเรารับกระติก และสาธุขึ้นพร้อม
จากนั้นหลวงปู่ก็ลุกเดินเข้าห้องไป พวกเราก้มลงกราบอีกที

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราเข้าไปกราบลาหลวงปู่
แล้วขับรถกลับเชียงใหม่
มาถึงเชียงใหม่ในตอนสายๆ
แวะเข้าไปที่โรงพักอีกครั้ง เพื่อไปให้ปากคำเพิ่มเติม
จากนนั้นเราก้กลับไปบ้านของเพื่อนคนที่หนึ่ง
เราจัดเตรียมของสำหรับทำพิธีอย่างเงียบๆ
ทุกคนไม่พูดไม่จา
เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรกับเราในคืนนี้
และแน่นอน ในบรรดาคนที่เงียบที่สุดก้คือผม
ซึ่งเป็นคนที่ปอดแหกที่สุดในกลุ่ม
ผมเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอ "ผี" จังๆซะที
แล้วคืนนี้ถ้าเกิดเจอขึ้นมา
ผมไม่รู้ว่าจะประครองสติไหวอยู่รึเปล่า
ของทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยก่อนค่ำ
เรานั่งกินข้าวกันอย่างเชื่องช้าที่หน้าบ้าน
ดูเหมือนเวลาเดินช้ากว่าทุกวัน
ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ว่า
"
เวลาเป็นสิ่งสัมพัตน์ ไม่ใช่สิ่งสัมพันธ์"
เรากินข้าวกันเรียบร้อย
แต่ยังนั่งคุยกันอยุ่ที่หน้าบ้าน
ซักซ้อมถึงพิธีการที่จะทำใหคืนนี้
ทุกคนดูตื่นเต้น

เพื่อนคนที่หนึ่งกลับเข้าไปในบ้าน
ยกเหล้ามา หนึ่งขวดและแก้วครบคน
เหล้าวางอยู่ตรงหน้าพวกเรา
แต่ตอนนั้น ไม่มีใครคิดจะหยิบแก้วขึ้นมารินซักอึก
เราขับรถออกจากบ้านตอนสี่ทุ่มให้เหตุผมกับแม่ของเพื่อนคนที่หนึ่งว่า จะไปดูคอน
เสริท ที่มหาลัย
เราขับรถออกมา แวะเข้าไปจอดที่วัดด้านหลังมหาลัย
นั่งรออยู่ในรถ จนกว่าจะถึงเวลา

บทที่สี่ "ทำพิธี"

ผมนั่งอยู่ด้านหน้ารถกับเพื่อนคนที่หนึ่ง เพื่อนคนที่สามและคนที่สี่ นั่งอยู่
ด้นหลัง
เวลาเดินอย่างเชื่องช้า
เสียงเพลงในรถดังขึ้นสลับกับเสียงดีเจ

เสียงดีเจบอกจบรายการ อีกสองเพลงจะเปลี่ยนเป็นดีเจอีกคน
ที่จัดรายการหลังเที่ยงคืน
ผมเหลือบมองนาฬิกา
อีกสิบนาทีจะเที่ยงคืน

เสียงหัวใจผมเต้นแรงขึ้นมา
เหงื่อเม็ดน้อยๆ ผุดขึ้นบนหน้า

เหลือบมองเห็นเพื่อนคนที่หนึ่ง
นั่งกระดิกขา
และถามขึ้นว่า
พร้อมยังวะ
เพื่อนคนที่สามและคนที่สี่ พูดขึ้นเกือบจะพร้อมกันว่า
พร้อมแล้ว
แต่ผมยังเงียบ
ผมจับผ้าลงอักขระในกระเป๋า ผมเย็บมันติดกับกระเป๋าเมื่อตอนเย็น
ผมพูดขึ้นเบาๆ
"
เออ กรูพร้อมแล้ว"

เพื่อนคนที่หนึ่งเปลี่ยนเกียร์ และขับรถออกจากวัด
มุ่งสู่มหาลัย
เรามาถึงหลังมหาลัยตอนเที่ยงคืนพอดี

แลกบัตรกับยาม แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ เนินดิน
อันเป็นที่ทำพิธีในคืนนี้
ทุกคนดูกระสับกระส่ายมากขึ้นเมื่อรถเริ่มวิ่งเข้าใกล้เนินดิน
เพื่อนคนที่หนึ่ง นำรถมาจอดที่ข้างตึกเรียน
ห่างจากเนินดินไปราวสิบเมตร
เพื่อนคนที่หนึ่งเปิดประตูและลงจากรถเป็นคนแรก
ตามด้วยเพื่อนคนที่ สาม และคนที่สี่
ผมยังนั่งอยู่หน้ารถ
เสียงเพื่อนตะโกนเรียก
ผมค่อยๆก้าวลงจากรถอย่างช้าๆ
รู้สึกถึงความเย็นของอากาศ

เราเดินมารวมกันที่ท้ายรถ
เพื่อนคนที่สามถือกระติกน้ำมนต์
เพื่อนคนที่สี่ถือธูป และไฟเช็ค
เพื่อนคนที่หนึ่งและผมถือไฟฉายกระบอกใหญ่
เราออกเดินพร้อมกันอย่างช้าๆ
มุ่งหน้าสู่เนินดิน

เที่ยงคืนครึ่ง
พวกเรามายืนสงบนิ่งอยู่ที่เชิงเนินดิน
แสงไฟจากไฟฉายสองกระบอก ส่องสว่างไปรอบเนินดิน
ผมและเพื่อนๆมองไปรอบๆ
ทุกอย่างดูเป็นปกติ

เพื่อนคนที่หนึ่ง ซึ่งดูจะมีความกล้ามากที่สุด เดินออกจากกลุ่ม ออกไปสำรวจรอบๆ
เนินดิน
ตามด้วยเพื่อนคนที่สามที่เดินตามไปพร้อมกระติกน้ำมนต์

ผมเหลือบมองเพื่อนคนที่สี่
ซึ่งยืนอยู่ข้างผม เราสบตากัน
ผม: เอาวะ ลุย
เพื่อนคนที่สี่ไม่พูดอะไร
ออกเดินตามผมไปตามหลังเพื่อนคนที่สาม
เราเดินสำรวจไปรอบๆ และมาหยุดตรงยอดเนินดิน

เพื่อนคนที่สามเปิดกระติกน้ำมนต์ ใช้ขันใบเล็กตักน้ำมนต์จากกระติกและราดลงยนยอด
เนินเราเดินตามคนหลังคนที่สาม เพื่อนคนที่หนึ่งอยู่อันดับสอง ตามด้วยผมและเพื่อนคน
ที่สี่เราเริ่มพิธีกรรมตามที่นัดแนะกันไว้
เหตุการ์ณทุกอย่างดูเป็นปกติ
แล้วเราก็ราดน้ำมนต์จนรอบเนินดิน
และยังเหลือน้ำมนต์ติดก้นกระติกอยู่อีกนิดหน่อย
เพื่อนคนที่สามราดน้ำมนต์ที่เหลือเป็นวงขนาดพอสี่คนนั่ง ที่เชิงเนินดิน
เขาวางไฟฉายไว้ข้างตัวและนั่งลง
ย้ายเข้าไปยืนอยู่ในวงกลม
เพื่อนคนที่สี่จุดธูป ส่งแจกจ่ายให้ทุกคน คนละดอก
และเราก็นั่งคุกเข่า
ผมหยิบบทสวดมนต์ออกจากกระเป๋า พนมมือและแนบไว้ที่มือในระดับที่สายตามองเห็น
เพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สี่ทำเช่นเดียวกับผม
ผมนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเพื่อนคนที่หนึ่ง และคนที่สี่
ส่วนเพื่อนคนที่สามนั่งพนมมืออยู่ริมสุดด้านซ้ายของผม
มันท่องบทสวดได้แล้ว จึงไม่มีโพยเหมือยพวกเรา
เพื่อนคนที่สามไม่พูดพร่ำทำเพลง
มันเริ่มบทสวนทันที
พวกเรารีบอ่านตามเกือบจะทันที
ผมท่องบทสวดอาศัยจังหวะตามคนที่สามที่ท่องคล่องแล้ว
และตอนนี้กำลังหลับตาท่องบทสวดอย่างคล่องแคล่ว
เหลือบมองไปที่เพื่อนคนที่สี่
ที่ตอนนี้หลับตาปี๋ เพราะมันก็อาศัยท่องตามเพื่อนคนที่สามเช่นกัน
ส่วนเพื่อนคนที่หนึ่งยังลืมตาอยู่เช่นเดียวกับผม
บทสวดอันเป็นเสียงประสานประสานของพวกเราทั้งสี่คน
ดังก้องไปทั่วบริเวณ
ผมก้มหน้าลงมองที่บทสวดของตัวเอง
เริ่มใช้สมาธิมากขึ้น
ลมเย็นพัดมาวูปหนึ่ง
พัดใบไม้ที่อยู่เบื้องหน้าผม ลอยวนขึ้นมาจากพื้น
ผมเงยหน้าขึ้น
เหลียวมองไปรอบๆ
แต่ปากยังท่องบทสวดตามเพื่อนคนที่สาม
เหตุการ์ณดูเป็นปกติ
ทันใดนั้น
มีเสียงดัง " ปัง"
ดังมาจากพุ่มไม้ด้านหน้าเรา
ทุกคนสะดุ้ง
ทุกคนมองไปตามต้นเสียง
เห็นกิ่งไม้หัก
ส่วนปลายห้อยลงที่พื้น
เพียงลมพัดเบาๆ ทำให้กิ่งไม้หักได้เชียวหรือ
ผมนึกในใจ
แล้วขนก็พาลลูกซู่
เพื่อนคนที่หนึ่งตะโกนเตือนให้เราสวดต่อ
ทุกคนถูกเรียกสติกลับมา
และบทสวดก็กลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ผมหลับตาลงด้วยเช่นกัน
ตั้งใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
จะไม่ลืมตาขึ้นเด็ดขาด
เราสวดรอบแรกจบ ผมได้ยินเสียงถอนหายใจจากเพื่อนคนที่สี่
ผมยังหลับตา
เราเริ่มรอบที่สองทันที
และในทันที่ ที่บทสวดรอบที่สองดังขึ้น
ลมก็พัดแรงขึ้น
แรงมาก กระดาษในมือผม พัดขึ้นลง ตามแรงลม
ฝุ่นที่พัดมาตามแรงลม ปลิวกระจายไปทั่วบริเวณ
บ้างปะทะใบหน้าผม
ผมรู้สึกถึงดินที่ผลุบเข้าจมูก และบางส่วนที่ปลิวมาบริเวณปาก
แต่ผมยังหลับตา
เสียงเพื่อนคนที่สามยังคงนำสวดต่อไป
ผมสวดตามกระท่อนกระแท่น
ถึงกลางท่อน
เสียงเพื่อนคนที่สี่ก็เงียบไป
ผมลืมตาขึ้นและมองไปทางที่เพื่อนคนที่สี่นั่ง
มันมองไปข้างหน้า อ้าปากค้าง
ตวงตาเบิกกว้าง
เหมือนจะพูดอะไร แต่ค้างอยู่อย่างนั้น
ผมใช่ข้อศอกสะกิดเพื่อนคนที่สี่
โดยที่ยังสวดตามเพื่อนคนที่สามต่อไป
เพื่อนคนที่สี่เหมือนตกอยู่ในพวัง
มันไม่ได้สนองตอบการสะกิดของผม
ผมใช้ข้อศอกถุง มันอีกทีที่ซี่โครง
มันตื่นจากพวังหันมามองผม
ผมส่งสีหน้าสงสัย ถามไปว่า
"
มรึงมองอะไร"
เพื่อนคนที่สี่ ปุ้ยปากไปทางเนินดิน
ผมค่อยๆ เหลือบมองไปทางเนินดิน
เห็นลมพัดฝุ่นฝุ้งอยู่บนเนิน
พุ่มไม้ด้านหลังเอียงเอนไปตามแรงลม
แต่ไม่เห็นสิ่งปกติอย่างอื่น
ผมหันกลับมาทางเพื่อนคนที่สี่
ที่ตอนนี้ มันหลับตา
และกลับมาสวดต่อไปแล้ว
ผมไม่รู้ว่ามันจะชี้ให้ผมดูอะไร
ผมหลับตาลงอีกครั้ง
เรามาถึงท่อนจบของบทสวดรอบที่สอง
อีกเพียงอึดใจทุกอย่างก็จะจบลงแล้ว
ผมใจชื้นคืนนี้เหตุการ์ณต่างๆคงจะผ่านไปด้วยดี
รอบที่สองผ่านไปด้วยดี
เราเริ่มบทสวดรอบที่สาม
เพื่อนคนที่สี่เถิบเข้ามานั่งไกล้ผมมากขึ้น
ข้อศอกเราชิดติดกัน
ส่วนเพื่อนคนที่สาม และคนที่หนึ่ง
ยังนั่งอยู่ที่เดิม
ลมที่พัดแรงนิ่งสงบลงอย่างแปลกประหลาด
ไม่มีแม้เสียงเคลื่อนไหวของกิ่งไม้
อากาศโดยรอบเริ่มเย็นลง
ผมรู้สึกเย็นไปจนถึงไขสันหลัง
มันเป็นความเย็น ที่นิ่งสงัด
บทสวดยังคงดำเนินต่อไป
ผมได้ยินเสียลมหายใจของตัวเองดังฟืดฟาด
สลับกับเสียงบทสวด
เพื่อนคนที่สี่ใช้ข้อศอกถุงซี่โครงผมอย่าแรง
ผมลืมตา และมองไปทางเนินดิน
สิ่งที่ผมเห็นผมทำเอาท้องผมเบาหวิว
บนเนินดินเรื่อยมาจนถึงจุดที่เรานั่งอยู่
เต็มไปด้วยสิ่งที่เราเรียกกันว่า "ผี"
บางคนแต่งกายชุดโบราณ บางคน
บางคนแต่งกายชุดพื้นเมือง
บางคนท่าทางเหมือนนักรบ
เป็นเด็กท่าทางผอมโซ
พวกเขายืนสงบนิ่ง ทุกสายตาจ้องมองมาที่กลุ่มของเรา
หัวใจผมแทบหยุดเต้น
ตั้งแต่เกิดมา ยังเป็นเคยเห็น "ผี" จังๆซะที
แต่คราวนี้เจอแบบนับไม่ไหวเลย
ผมไม่รู้ตัวว่าหยุดสวดไปตั้งแต่เมื่อไหร่
มารู้ตัวอีกทีก็ถูกเพื่อนคนที่หนึ่งใช้ข้อศอกกระทุ้งที่ซี่โครงอย่างแรง
ผมเรียกสติกลับมา
พยายามมองหาไฟฉาย แต่มันถูกแรงลมพัดออกไปไกลจากจุดที่เรานั่งราวสองเมตร
ส่วนไฟฉายของเพื่อนคนที่หนึ่งถูกเหน็บไว้ใต้รักแร้
และยังคงส่องสว่างไปเบื้องหน้า
ผมมองไปทางเพื่อนคนที่สาม ที่นั่งอยู่ริมซ้ายสุด
มันยังหลับตา และสวดมนต์ต่อไป
แต่ถัดจากตัวไปไปราวครึ่งศอก
เป็นภาพเดียวกับที่ผมเห็นเบื้องหน้า
ผมเบือนหน้าหนี ไปทางเพื่อนคนที่สี่
และเช่นเดียวกัน ทางด้านขวาของเราก็ถูกล้อมไว้ด้วยอีกกลุ่มหนึ่ง
ไปต้องใช้สมองส่วนหน้าคิด
ก้พอจะรู้ว่าด้านหลังของพวกเราคืออะไร
ผมเขยิบตัวเข้ามาชิดเพื่อนคนที่หนึ่ง
ซึ่งนั่งหลับตาอยู่
ปากพยายามท่องตามคำสวดของเพื่อนคนที่สาม
และในทันทีเพื่อนคนที่สี่ก็เขยิบตามผมเข้ามา
ผมอยากจะหลับตาลง
แต่ตอนนั้นไม่ได้ทำ
ผมได้ได้จ้องไปยังภาพเบื้องหน้า
ภาพของกลุ่ม "ผี" ที่กำลังเดินล้อมวงเข้ามาหาพวกเราอย่างช้าๆ
บทที่ 5 กลางวงล้อม
ใกล้เข้ามา
ผมตะกุกตะกักท่องบทสวดมนต์ตามเพื่อนต่อไป
แต่ตายังจ้องอยู่กับคาราวานที่ค่อยๆเดินเข้ามาหาพวกเรา

บทสวดดำเนินมาถึงท่อนสุดท้าย
เพื่อนคนที่สาม และคนที่หนึ่ง คงยังไม่ได้ลืมตา
มันจึงไม่รับรู้กับภาพและเหตุการ์ณเบื้องหน้า

ส่วนเพื่อนคนที่สี่ก็ยังไม่ยอมลืมตาขึ้น
และยังคงส่งเสียงสวดแบบตะกุกตะกักต่อไป

ระยะห่างของพวกเรา และกลุ่มผี ตอนนี้อยู่ข้างกันเพียงสองศอก ผมแลเห็นใบหน้าทุก
ตนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผมได้อย่างชัดเจน

ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
รู้สึกว่ามือตัวเองสั่นอย่างบังคับไม่ได้
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
ใจหนึ่งอยากจะวิ่งหนีออกไปจากที่นี่ให้ไกลที่สุด
แต่ก็นึกถึงคำของหลวงพ่อที่ว่า
"
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่าหยุดสวดมนต์"

บทสวดจบลง แต่ฝูงผียังคงรักษาระยพห่างระหว่างเรา
ไม่ได้เข้ามาไกล้กว่านั้น
และไม่ได้ถอยห่างออกไป

เพื่อนคนที่สามลืมตาขึ้น
ตามด้วยเพื่อนคนที่หนึ่ง

ทั้งคู่ผงะเอียงไปทางด้านหลัง
เจ้าเพื่อนคนที่หนึ่งเหลียวไปด้านหลัง แล้วก็ล้มกระแทกพื้นก้นจ้ำเบ้า
ส่วนเจ้าเพื่อนคนที่สาม ยังพอประคองสติอยู่ได้
ล้วงผ้าลงอักขระในกระเป๋าออกมากำไว้แน่น

ถึงตอนนี้
เราทุกคนลืมตา
และประจักษ์กับภาพเบื้องหน้าตัวเองแล้วว่า
เรากำลังตกอยู่ในวงล้อม

ไม่ต้องมีใครบอกเราถอยเข้ามาชิดกัน
หลังชนหลัง แต่ละคนมองไปในทิศของตัวเอง
ผมรู้สึกได้ว่า ทุกคนก็สั่นไม่น้อยไปกว่าผม
ได้ยินเสียงเพื่อนคนที่สี่ถามขึ้นแบบสั่นๆว่า
"
เอาไงดีวะ"

ไม่มีเสียงตอบจากสวรรค์
ทุกคนเบียดเข้ามาหากันและกันมากขึ้น
และเพื่อนคนที่หนึ่งก็ละลำละลักขึ้นมาว่า
"
เอา ถะ ถะ ถะ ธูป ปะ ปะ ไป ปัก"

ผมมองไปทางเนินดิน
ซึ่งตอนนี้ห่างจากพวกเราไปเบื้องหน้าผม ครึ่งเมตร
แต่มันถูกกั้นด้วยฝูงผีเบื้อง จนมองไม่เห็นทางว่าจะผ่านออกไปได้อย่างไร

ผม: ผะ ผะ ผี ขวาง ทะ ทะ ทาง

สาม: ผ้าซิโว้ย เอาผ้าที่หลวงปู่ให้ออกมา
เพื่อนคนที่สามพูดเสียงดังฟังชัด แม้ตัวมันยังสั่นไม่หยุด

เพื่อนคนที่หนึ่ง และสี่ หวักผ้าออกมาชูขึ้น
ยกเว้นผม ที่เย็บมันไว้ติดกับกระเป๋าเสื้อ
ผมฉีกกระเป๋าเสื้อด้านนอกออก
เผยให้เห็นผ้าลงอักขระที่ถูกเย็บติดไว้

สาม: ลุก
เพื่อนคนที่สามตะโกนเสียงดัง
เพื่อนคนที่สามพูดขึ้น และลุกขึ้นยืน
เราลุกขึ้นยืนตามเพื่อนคนที่สาม

และตอนนี้ผมจึงรู้ว่าไม่ใช่เฉพาะแขนผมที่สั่น
ขาผมมันก็ยังสั่นไม่หยุด

แล้วผมก็ถูกผลักจนถลำมาข้างหน้าสองก้าว
ไม่รู้ว่าใครพลัก รู้แต่ว่าตอนนี้ทุกคนยืนอยู่ข้างหลังผม ชูผ้ายันต์ไปคนละทาง
และตอนนี้ระยะห่างของผมกับฝูงผีเบื้องหน้า ห่างกันเพียงครึ่งก้าว

ผม : มัน มัน ไม่ถอยโว้ย
ผมตะโกนขึ้น อยากจะถอยหลังกลับไปอยู่หลังเพื่อน แต่ขามันไม่ยอมก้าว

ผมถูกผลักจนถลำมาข้างหน้าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ กลุ่มผีตรงหน้าผมแตกฮือออกไป
ผมปล่อยโฮออกมา น้ำตาไหลอาบแก้ม
ทั้งแค้นทั้งกลัว
แค้นที่เพื่อนมันใช้เราเป็นโล่
และกลัว ถ้าผีมันไม่ถอย ผมก็คงเป็นรายที่สอง ที่ต้องสังเวยชีวิตแน่ๆ

ผม: :-)อย่าผลักกรูได้ไหม กรูกลัว ฮือๆๆ
ผมละล่ำละลักบอกเพื่อน
ไม่มีเสียงตอบ ทุกคนยังเบียดอยู่ด้านหลังผม
สาม: :-)นำนั้นแหละ ผีมันกลัวหน้า:-)
เพื่อนคนที่สามปล่อยมุขออกมากลางวง

แต่ไม่มีเสียงฮารับเหมือนตอนตั้งวงเหล้า
และตอนนั้นผมก้ขำไม่ออก
แต่ก็พอใจชื้นขึ้น
ที่อย่างน้อย ผีมันก็ยังไม่เข้าไกล้เรา

เพื่อนคนที่หนึ่ง ผ่านไฟฉายมาที่มือผม
ผมรับไฟฉาย
พยายามส่องไฟไปด้านหน้า
แต่มือมันสั่น
และแสงไฟก็สั่นไปตามแรงมือ

สาม: เห้ย เอาธูปไปปัก
เพื่อนคนที่สามตะโกนสั่ง
ตอนนั้นมือซ้ายผมถือไฟฉาย
มือขวากำธูปไว้แน่น
ธูปในมือผม ไหม้จนใกล้จะสุดเชื้อ

ผมนึกในใจ
ถ้าช้าไปกว่านี้ พิธีการอาจล้มเหลว
และพวกเราทั้งหมด คงจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
ผมตัดสินใจ
ค่อยๆสั่งขาให้ก้าวออกไปข้างหน้า

ผม: เดินซิโว้ย ไอ้ขาบ้า
ผมตะโกนดังลั่น

เหมือนเวลาหยุดลง
ขาซ้ายของผมค่อยๆก้าวออกไป
ค้างอยู่เนิ่นนานในอากาศ
และแตะพื้นเบื้องหน้าในที่สุด
ก้าวแรกผ่านไป

ผมยังไม่หยุดร้องให้
ยกขาขวาตามมา ผ่านขาซ้ายไปแตะพื้นเบื้องหน้า
อีกเพียงก้าวเดียว ผมก็จะถึงเนินดิน และสามารถปักธูปได้
เพื่อนทั้งสามคนยังเกาะกันติดอยู่ด้านหลังผม
ไม่มีใครพูดอะไรอีก

ฝูงผีที่แตกฮือจากด้านหน้า
ล้อมกันกลับเข้ามาในระยะเดิม

บางตนส่งเสียงโหยหวน
ฟังไม่เป็นภาษาคน บางตนท่าทางกระวนกระวาย
ยกมือขึ้น ทำท่าเหมือนจะเข้ามาทำร้ายพวกเรา
เหมือนพวกเรากำลังจะบุกรุกเข้าพื้นที่ อันเป็นที่หวงแหนของพวกเขา

ผมนึกถึงบทแผ่เมตตา
แต่จำไม่ได้ว่าท่องว่าอย่างไร
จึงตะโกนให้เพื่อนคนที่สามช่วยสวดให้ที

เพื่อนคนที่สามไม่รอช้า
ส่งเสียงบทแผ่เมตตาออกมาเสียงดังฟังชัด
เพื่อนคนที่หนึ่งและคนที่สี่ก็ทำเช่นเดียวกัน

ผมก้าวมาด้านหน้าอีกหนึ่งก้าว
ถึงตรงเชิงเนินดินพอดี
รับธูปจากเพื่อนมารวมไว้ในมือ
นั่งคุกเข่าลง
วางไฟฉายลง
ยกมือท่วมหัว
แล้วปักธูปในมือลงทีละดอก
ทันทีที่ธูปดอกสุดท้ายปักลงที่พื้น

บทสุดท้าย "เพื่อน"

ทันทีที่ธูปดอกสุดท้ายปักลง
เกิดลมพัดขึ้นมาวูปใหญ่

เสียงฝูงผีร้องโหยหวน
กรีดแหลมเสียดแทงไปในแก้วหู
แล้วภาพเบื้องหน้าผมก้กลายเป็นความว่างเปล่า
ผมหันมองไปรอบตัว
ไม่พบสิ่งใด
ลมพัดมาเบาๆ

ผมทรุดตัวลงนั่ง
ยังคงร้องให้สะอึกสะอื้น
เพื่อนๆที่อยู่ด้านหลังนั่งลงตาม
ผมได้ยินเสียงคนหนึ่งถอนหายใจออกมาดังเฮือก

ผม: จบแล้วใช่ไหมวะ
เพื่อนผมพยักหน้าพร้อมกัน
เรานั่งมองหน้ากัน
หนึ่ง: หิวข้าวว่ะ
เพื่อนคนที่หนึ่งพูดออกมากลางวง

เพื่อนนที่สามหัวเราะออกมาดังลั่น
หัวเราะลงลูกคอเอิ้กอ้าก

เพื่อนคนที่สี่และคนที่หนึ่งพาลหัวเราะตาม
ไม่รู้ว่าขำอะไรนักหนา
แต่ผมก็พาลหัวเราะไปด้วย

หัวเราะไป
ร้องให้ไป
...........
................
......
เราขับรถกลับบ้าน
ทิ้งความทรงจำเมื่อครู่ไว้ที่เนินดิน

ตกลงกันว่าจะเก็บเป็นความลับ
พรุ่งนี้ต้องไปลำพูนแต่เช้า
มีอะไรต้องทำอีกพอสมควร
เพื่อนคนหนึ่งพูดคนที่สองขึ้นมา

เราทุกคนหน้าสลดลง
ผมหยุดร้องให้นานแล้ว
พรุ่งนี้เรากะว่าจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อน
ที่วัดที่ลำพูน

เพื่อนคนที่หนึ่งคงจะเร่งแอร์ในรถมากไป
จนทุกคนรู้สึกหนาว
แต่ก็ไม่ได้เบาแอร์ลง เพราะอากาศข้างนอกก็เย็น หมอกลงจัด

เรามาถึงบ้านเพื่อนคนที่หนึ่งตอนตีสอง

แม่ของเพื่อนมาเปิดประตูให้ตอนที่เรามาถึง
สภาพของเราทุกคนดูโทรมมาก
แต่ละคนดูเหมือนไปวิ่งมาราทอนคลุกฝุ่นกันมา

เราลงจากรถกำลังจะเดินเข้าบ้าน
เสียงแม่ของเพื่อนคนที่หนึ่งทักขึ้น

แม่: ไม่เรียกเพื่อนอีกคนลงมาด้วยล่ะลูก
จะได้อาบน้ำอาบท่าแล้วเข้านอนกัน หรือว่าจะออกไหนกันอีก

เรามองหน้ากันงง

หนึ่ง: ไม่มีใครแล้วครับแม่ มีกันสี่คนเท่านี้ครับ
แม่เพื่อนชี้มือไปที่รถที่จอดอยู่หน้าบ้าน

แม่: ก็นั่นไงเพื่อนลูกที่นั่งอยู่ในรถอีกคนนั่นไง
แม่จำได้นะ เคยมาบ้านเราหลายครั้ง

แม่เพื่อนพูดและชี้มือไปที่รถ

พวกเรามองตามไปที่รถ
สิ่งที่ผมเห็นคือ

เพื่อนคนที่สองนั่งอยู่หน้ารถ ในตำแหน่งที่ผมนั่ง
ส่งยิ้มและโบกมือมาให้เราทุกคน

....


จบครับ

หมายเหตุ

1.
เนินดินแห่งนั้น ปัจจุบันถูกขุดขึ้น และใช้พื้นที่ในการสร้างตึกปฏิบัติการ
ของคณะหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งนั้น
(
ตึกเก้าชั้น)
2.
หลวงปู่มรณะภาพในหกเดือนหลังจากนั้น เพื่อนคนที่สามขอบวชอยู่นี่วัดแห่งนั้น
ตลอดซัมเมอร์ และได้เรียนรู้วิชาจากหลวงปู่มาพอสมควร
3.
เพื่อนคนที่สี่กลับมาเรียนต่อที่กรุงเทพ ครั้งสุดท้ายที่พบกัน มักจะมีเรื่อง
ผีๆ มาเล่าให้กันฟังสม่ำเสมอ
4.
หลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เพื่อนคนที่สอง เราทุกคนก็ไม่เคยพบเห็นเขาอีกเลย

5.
ผีมีจริง

Publicité
Publicité
Commentaires
-
ยังมั่ยจบเรยง่า อยากอ่านต่อ
*
ยาวจิง...อ่านซะเมื่อยเลยกุ
Publicité